ข้อมูลสุขภาพ: หาหมออย่างฉลาดใน3ขั้นตอน หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยประสบปัญหาเวลาไปหาหมอ เช่น ลืมบัตร คุยกับคุณหมอไม่เข้าใจ ไม่รู้จะบอกอาการคุณหมอยังไง หรืออื่น ๆ การไปหาหมออาจทำให้คุณเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน โดยที่ไม่ได้อะไรเลย ชวนมาเปลี่ยนวิธีการไปหาหมอแบบเดิมๆ ให้เป็นการไปหาหมออย่างฉลาด และได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
ป่วยแค่ไหน เมื่อไหร่ ถึงต้องไปหาหมอ?
เมื่อรักษาตามอาการแล้วไม่หาย โดยปกติเรามักใช้ยาสามัญประจำบ้านรักษาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น แต่หากว่าใช้แล้วไม่หาย มีอาการรุนแรงขึ้น หรือเริ่มมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็คงถึงเวลาที่เราควรจะไปหาหมอ
มีอาการป่วยเป็น ๆ หาย ๆ จนวิตกกังวล เมื่อมีอาการป่วยแม้เพียงเล็กน้อย แต่มีอาการต่อเนื่องนานเกินไป หรือเป็น ๆ หาย ๆ และมีผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวัน หรือทำให้เกิดความวิตกกังวล กรณีนี้ก็ควรไปพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจให้ละเอียดต่อไป
หาหมออะไรดี?
เมื่อเราป่วย แต่ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร หรือเพราะอะไร คุณหมอคนแรกที่เราควรไปหาคือหมอเวชศาสตร์ครอบครัว/หมออายุรกรรมทั่วไป ซึ่งคุณหมอจะทำการวินิจฉัยโรค ค้นหาสาเหตุ และอธิบายให้เราฟังได้ว่าเราป่วยเป็นอะไร และควรต้องทำการรักษาอย่างไร แต่หากโรคนั้นเป็นโรคที่ต้องรักษาโดยหมอเฉพาะทาง คุณหมอก็จะส่งตัวเราไปให้หมอเฉพาะทางทำการรักษาต่อไป หมอเวชศาสตร์ครอบครัว/หมออายุรกรรมทั่วไปจึงเป็นเหมือนประตูบานแรกที่เปิดรับคนไข้ แต่สำหรับโรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง อาจมีพยาบาลช่วยคัดกรองผู้ป่วยและส่งต่อไปพบแพทย์เฉพาะทางเลยก็ได้
ในกรณีที่รู้อยู่แล้วว่าเราป่วยเป็นอะไร เช่นเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หากเกิดปวดท้องลักษณะเดิมอีกครั้ง เราจะไปหาหมอเฉพาะทางระบบทางเดินอาหารเลยก็ได้
การเจ็บป่วยบางอย่าง เราสามารถไปหาหมอเฉพาะทางได้เลย เช่น มีอาการเกี่ยวกับตา ต้องไปพบจักษุแพทย์ หากมีอาการที่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องผู้หญิง ๆ ก็ไปพบสูตินรีแพทย์ หากเป็นเด็กก็ควรจะพาไปพบกุมารแพทย์ เป็นต้น
ไปหาหมอ ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
1.เตรียมเอกสารส่วนตัว
เอกสารเพื่อเข้ารับบริการและรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น บัตรประชาชน ใบนัด ใบส่งตัว เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการรักษา เช่น ฟิล์ม x-ray หรือ ผล Ultrasound และเอกสารสำคัญอีกอย่างที่ลืมไม่ได้นั่นก็คือ เอกสารเกี่ยวกับการใช้สิทธิประกันสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง บัตรประกันสังคม หรือบัตรประกันสุขภาพ
2. รวบรวมข้อมูลที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย
– รายละเอียดอาการเจ็บป่วยและระยะเวลาที่เป็น เช่น ปวดหัวข้างเดียว เป็นมานานกว่า 1 สัปดาห์
– พฤติกรรมที่น่าจะเกี่ยวข้องกับอาการป่วย เช่น กินอาหารรสจัด นอนดึก หรือดื่มแอลกอฮอล์
– ประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ข้อมูลส่วนนี้สำคัญสำหรับโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย และโรคอื่น ๆ ที่หากมีคนในครอบครัวเป็น จะทำให้เรามีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนั้นได้มากกว่าคนทั่วไป เช่น โรคมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับยาและอาการแพ้
– ข้อมูลการใช้ยา เช่น ปัจจุบันกินยาหรือใช้ยาอะไร ใช้มากน้อยแค่ไหน ทั้งยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ วิตามิน และอาหารเสริมต่าง ๆ หากเป็นไปได้ควรเตรียมยาที่ใช้ทั้งหมดไปด้วย ถ้าไม่สะดวกอาจถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์
– ประวัติการแพ้ยาและอาหาร ลิสต์ชื่อยาและอาหารที่แพ้ อาการที่เกิดเมื่อแพ้ หากมี “บัตรแพ้ยา” ที่โรงพยาบาลออกให้ ควรนำติดตัวไปด้วย ถ้ามีอาการข้างเคียงของยาที่รับไม่ไหว เช่น เวียนหัวมาก ท้องเสีย ให้แจ้งคุณหมอ
4. ศึกษาข้อมูลอาการและโรคที่สงสัยว่าจะเป็นก่อนไปพบคุณหมอ
– ข้อมูลของหลาย ๆ โรคเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก ทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค อาการร่วมของโรค การรักษาและการดูแลตัวเอง จะดีกว่าไหม ถ้าเราศึกษาข้อมูลไว้ก่อนล่วงหน้า ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่คุณหมออธิบายได้ง่ายขึ้นและปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง การรักษาโรคก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนจะไปพบคุณหมอ เราสามารถตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ที่ Smart Doctor โปรแกรมตรวจอาการเบื้องต้นอัจฉริยะ เพื่อค้นหาข้อมูลเบื้องต้นของโรคที่เราอาจจะเป็น พร้อมรับคำแนะนำและวิธีปฏิบัติตัวก่อนไปพบคุณหมอ
– เตรียมคำถามหากมีข้อสงสัย เมื่อศึกษาข้อมูลโรคเบื้องต้นแล้วมีข้อสงสัย ให้จดคำถามไว้ในสมุดบันทึกหรือโทรศัพท์เพื่อกันลืม โดยให้ลิสต์คำถามเรียงตามลำดับความสำคัญที่เราอยากได้คำตอบจากคุณหมอ เนื่องจากเวลาในการเข้าพบคุณหมอมีจำกัด โดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐ ทำให้ไม่เสียเวลากับคำถามที่ไม่สำคัญจนหมดเวลา
5. พาเพื่อนหรือญาติมาด้วย หากช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
– ในกรณีที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น ต้องรับยาหรือทำการตรวจรักษาที่มีผลข้างเคียง อาทิ มีอาการง่วง อาการเวียนศีรษะ หรือ ตามัว
คุยกับคุณหมอ กล้าถาม กล้าตอบ
1. เล่าอาการ
เมื่อพบคุณหมอให้เล่าอาการของตัวเองให้คุณหมอฟังอย่างละเอียด
2. กล้าที่จะถามคำถาม
– หากคิดว่าอาการหรือโรคที่เป็นอยู่มีความซับซ้อน และกลัวว่าจะจำที่คุณหมออธิบายไม่ได้ ให้นำกระดาษ ปากกา หรือโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องตรวจเพื่อจดสิ่งที่คุณหมอพูด
– ถามถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ความรุนแรงของโรค ระยะเวลาในการรักษาและการปฏิบัติตัว-
– หากคุณหมออธิบายแล้วยังไม่เข้าใจ เช่น ศัพท์ทางการแพทย์ หรือมีความกังวลใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการรักษา ให้ถามคุณหมอ
– หากมีข้อสงสัยเรื่องยา ให้ถามคุณหมอ เช่น ปริมาณของยาที่จะใช้ วิธีใช้ยา และผลข้างเคียงต่าง ๆ
– ถ้าจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม ให้ถามคุณหมอถึงขั้นตอนการตรวจ หรือความจำเป็นในการตรวจเพิ่มเติม อย่ากลัวที่จะถาม
3. ตอบคำถามตามความเป็นจริง
เมื่อคุณหมอถาม ให้ตอบคำถามตามความเป็นจริง ไม่ควรโกหกและไม่ต้องอาย เช่น คำถามเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ การมีเพศสัมพันธ์ การใช้สารเสพติด การใช้ยาสมุนไพร หรือการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก
หลังพบคุณหมอ
1. ตรวจสอบสิทธิหากต้องตรวจรักษาเพิ่มเติม
ในกรณีที่คุณหมอสั่งให้มีการตรวจเพิ่มเติม ทำการรักษา ผ่าตัด หรือทำกายภาพบำบัด ให้ตรวจสอบสิทธิความคุ้มครองตามบัตรทอง ประกันสังคม หรือประกันสุขภาพว่าได้รับความคุ้มครองหรือไม่ หากได้รับความคุ้มครองจะได้มากน้อยเพียงใด เช่น การทำ MRI แม้จะสามารถเบิกประกันสุขภาพได้ แต่ก็มีขั้นตอนการใช้สิทธิที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีข้อจำกัดในบางกรณี หากไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดีอาจไม่สามารถใช้สิทธิได้
2. ตรวจสอบยาและใบนัด
ตรวจสอบว่าได้ยาอะไรมาบ้าง ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่งหรือไม่ รวมถึงคำถามเกี่ยวกับการใช้ยาที่สามารถสอบถามเภสัชกรได้โดยตรง เช่น ยาก่อนอาหารหรือหลังอาหารต้องกินก่อนหรือหลังอาหารกี่นาที หากอาการดีขึ้นแล้วต้องกินยาที่ได้มาให้หมดเลยหรือไม่ หรือยาบางชนิดห้ามกินกับอาหารบางอย่าง คำถามพวกนี้สามารถถามได้ทันที
3. สังเกตอาการตัวเองหลังพบคุณหมอ
ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ และสังเกตอาการของตัวเองตั้งแต่หลังเข้ารับการรักษา รวมถึงสังเกตอาการแพ้และผลข้างเคียงของการใช้ยา เพื่อเป็นข้อมูลในการไปพบคุณหมอครั้งต่อไป
สรุป
เมื่อการไปหาหมอเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยามป่วย การใส่ใจเตรียมความพร้อมในการรักษาจึงเป็นเรื่องสำคัญ ควรเตรียมตัวเองให้พร้อมทุกครั้งก่อนไปหาหมอด้วยหลักการง่ายๆเพียง 3 ขั้นตอน เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้การหาหมอของคุณได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด